เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ก.พ. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันตรุษจีนใช่ไหม วันนี้วันตรุษจีน ตรุษ สารท ขึ้นปีใหม่ แล้วเราจะเป็นคนสัญชาติอะไร เพราะมีทุกตรุษทุกสารท เห็นไหม แต่ความเป็นอย่างนี้มันเป็นสมมุติ สมมุติให้เราขึ้นต้นใหม่ เหมือนพระนะ พระเรานี่เวลาปลงอาบัติ เห็นไหม มันมีความผิดพลาดให้ปลงอาบัติ พอปลงอาบัติสิ่งที่ทำมาแล้วก็เป็นอาบัติ สิ่งทำแล้วเป็นกรรม เห็นไหม แต่เราเริ่มต้นใหม่ไง ไม่อย่างนั้นมันจะฝังใจไปตลอด นี่ตรุษ สารท นี่เป็นอย่างนี้

ตรุษ สารท ให้ขึ้นต้นใหม่ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็คือผ่านไปแล้ว สิ่งที่เริ่มต้นใหม่เราจะได้เริ่มของเราเข้าไปใหม่ สิ่งนี้มันเป็นกระทำเป็นสมมุติไง สมมุติให้คนมีโอกาสทำคุณงามความดี สุดท้ายมันก็ตกมาอยู่ที่เรานี่ วันนี้เป็นวันถือ เห็นไหม วันถือมันหนักนะ ถ้าวันปล่อยมันเบา วันปล่อยมันปล่อยอะไร คนปล่อยแล้วปล่อยไม่มีหลักเกณฑ์เหรอ ถ้าคนปล่อยไม่มีหลักเกณฑ์ ไม่มีจุดยืน มันจะปล่อยไปได้อย่างไร

คนปล่อยจะปล่อยได้มันต้องมีจุดยืนนะ มีจุดยืน มีความเข้าใจตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีความเข้าใจตามความเป็นจริงนะ เราอยากจะปล่อยมันปล่อยไม่ได้หรอก มันคาอยู่ในมือนี่ ความรู้สึกมันคาอยู่ในใจเรานี่ เราอยากจะปล่อยมันปล่อยได้ไหม มันปล่อยไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้จริงว่าสิ่งนี้มันเป็นสมมุติ มันเป็นสิ่งที่ให้ทุกคนได้สร้างคุณงามความดี แล้วเราก็ทำคุณงามความดีอยู่แล้วนี่ เราจะไปติดอะไร เห็นไหม เราจะไม่ติดอะไรเลย เราจะปล่อยไว้ตามความเป็นจริง แล้วเราก็ไม่ไปแบกหามด้วย แต่ถ้าเราไม่รู้จริงนะ เอ๊ะ! ปล่อยอะไร ปล่อยทำไม ปล่อยอย่างไร เอ๊ะ! เราปล่อยก็ปล่อยอยู่แล้ว การปล่อยอย่างนี้มันปล่อยโดยไม่รู้เรื่อง

แต่ถ้าการปล่อยโดยรู้เรื่องเห็นไหม ไม่แบกไม่หาม ไม่เป็นภาระสิ่งต่างๆ เลย เพราะโลกนี้มีไว้ให้เหยียบ โลกนี้ไม่มีไว้ให้แบก แต่เราเกิดมาในโลกเราก็ต้องหาอยู่หากิน เห็นไหม เราต้องหาอยู่หากินของเรา เราต้องให้ชีวิตเรามั่นคงขึ้นมา ความมั่นคงในชีวิตนี่ สิ่งนี้มันลุ่มๆ ดอนๆ โลกนี่พร่องอยู่เป็นนิจ นี่แต่เพราะการบริหารจัดการของเรา เห็นไหม ดูสิ เรากักน้ำไว้ เรามีแหล่งน้ำไว้เพื่อการเกษตรกรรม เพื่อการใช้สอยนี่ นี่เราบริหารจัดการมันนะ แต่การจัดการถ้ามันไม่มีแหล่งน้ำเขาก็ต้องพยายามหาของเขามานะ

นี่เขาว่ามนุษย์ปัญญาสำคัญที่สุดเลย ปัญญาทางโลกเขาบริหารจัดการของเขาได้ ปัญญาทางธรรมล่ะ นี่การปล่อยวางของเรามันต้องมีปัญญา มันต้องมีบริหาร แต่ใครบริหารล่ะ สิ่งต่าง ๆ เราจะบริหารทุกอย่างดีหมดเลย ขาดแต่การบริหารจัดการ แต่เวลากิเลสมันขึ้นมานี่ คนบริหารจัดการมันบริหารจัดการไม่ได้ คนบริหารจัดการมันง่อยเปลี้ยเสียขา คนง่อยเปลี้ยเสียขานี่เขาพิการ ถ้าไปว่าเขาพิการเขาว่าดูถูกเขาอีกนะ เขาพิการแต่ร่างกายแต่หัวใจเขาไม่พิการนะ แต่การบริหารจัดการของธรรมเรานี่มันพิการที่ปัญญา มันพิการที่ความรู้สึกนะ มันไม่มีกำลัง มันไม่เข้มแข็งพอ มันไม่เข้มแข็งพอมันทำอะไรไม่ได้หรอก

แต่ถ้าความเข้มแข็งพอเห็นไหม มันจะพิสูจน์ตัวมันเอง มันจะมีสติสัมปชัญญะ มันมีหิริ มีโอตตัปปะ มันมีความเกรงกลัว มีความละอายนะ มีความเกรงกลัวความละอาย ทำผิดทำถูกไง ทำผิดทำถูกมาจากเรานะ ถ้ามาจากเรานี่มันเข้มแข็งมามันไม่พิการ มันไม่พิการมันถึงบริหารจัดการได้ ถ้ามันพิการมันไม่รู้ผิดรู้ถูก มันไม่มีกำลัง ไม่รู้อะไรอ่อนแอ จิตใจอ่อนแอแล้วจะไปบริหารอย่างไร พูดอยู่คำเดียวขาดแต่การบริหารจัดการๆ ถ้าบริหารจัดการๆ โดยใคร ถ้าบริหารจัดการโดยกิเลสนะมันก็เป็นโลก

ดูสิ ดูที่เขาคดโกงกัน เขาบริหารจัดการไหม เขาคิดจนเราตามไม่ทันนะ ตอนนี้การคดโกงเขาคอรัปชั่นกันนะ เราตามไม่ทันเขาหรอก เขาวางแผนกันซับซ้อนมาก นี่โลกซับซ้อน ทุกอย่างซับซ้อนไปหมดเลย นี่ความคิดอย่างนั้นมันมาจากไหน แล้วเป็นคนดีจะคิดอย่างนั้นไหม เพราะอะไร เพราะมันมีความละอาย ความรู้สึกว่าสิ่งนี้มันไม่ดี ถ้ามันไม่ดี เห็นไหม นี่สิ่งที่มันไม่ดีแล้วเราทำไปนี่ เราเชื่อไง เชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรม เห็นไหม เชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรม เราปล่อยวาง เราจะไม่ได้สิ่งนี้ สิ่งที่เป็นผลประโยชน์เราน่าจะได้ เราไม่ได้ เราได้ประโยชน์สิ่งนี้มา แต่เวรกรรมมันมีจริงนะ เวรกรรมมันตามเราไปด้วย มันคุ้มกันไหมล่ะ

แต่ถ้าเราได้ด้วยสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เห็นไหม ด้วยทำหน้าที่การงาน การบริหารจัดการของเรา เราทำเป็นบุญกุศลแล้วมันมาตามความเป็นจริง เห็นไหม สิ่งนี้เป็นบุญนะ ได้มาก็อิ่มอกอิ่มใจ มันไม่มีเวรมีกรรมไง มันเป็นบุญกุศล มันเป็นอำนาจวาสนา มันเป็นสิ่งนี้มา นี่ถ้ามันเข้าใจจริงมันก็ทำตามหน้าที่ มันทำหน้าที่ของเรา เราทำตามความเป็นจริงของเรา ความดีเพื่อดี ได้มาดีก็เป็นความดีของเรา นี่มันเข้าใจสิ่งต่างๆ แล้วมันไม่สงสัยอะไรเลย มันก็ปล่อยตามความเป็นจริง ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่เป็นไร มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ มีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี มันไม่มีมันก็ไม่ทุกข์ไม่ยาก เพราะเรามีพอแล้ว

เรามีชีวิต เรามีปัญญา มีปัญญาเห็นไหม เราหาอยู่หากินของเราได้ เราทำของเราได้หมด เรามีปัญญาของเรา เราไม่ไปตื่นเต้นกับเขาเลย นี่เราเดินไป เห็นไหม ไม่มีสิ่งใดเลยเราก็เก็บผักเก็บหญ้าของเรา เราทำอาหารของเรากินได้ทั้งนั้นนะถ้าเราทำของเราได้นะ แต่ถ้าเป็นศักดิ์ศรี เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบอกไม่ได้ เราไม่ทันโลกเขา ไม่เหมือนกับโลกเขา ไอ้โลกเขานะมันเป็นการเยินยอกันเฉยๆ นะ

ดูสิ ดูอย่างเขาหามานี่ อย่างเป็นศักดิ์ศรี เห็นไหม กินเพื่อศักดิ์ศรี กินเพื่อเกียรติ กินเพื่อกาม เห็นไหม เรากินเพื่อดำรงชีวิตนะ เราดำรงชีวิต ชีวิตก็เท่านี้ เรามีเท่านี้ เรารู้ถึงอริยสัจความจริงแล้วนี่เราไม่ตื่นเต้นไปกับเขา ไม่ตื่นเต้นไปกับเขาเราก็ไม่เป็นเหยื่อ ไม่เป็นเหยื่อสังคม สังคมเขาโฆษณาชวนเชื่อกัน แล้วเราก็เป็นเหยื่อ เราทุกข์มาก นี่แล้วไม่ทันเขาหรอก โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ มีสิ่งต่างๆ ออกมาใหม่ๆ ตลอดเวลา แล้วเราก็ต้องวิ่งตามเขาให้ทันเขาตลอดเวลาเหรอ วิ่งไปมันลืมตัว ลืมหลักเกณฑ์ ลืมจิตใจของเรา ลืมตัวเราเอง

แต่ถ้าเรามีจุดยืนของเรานะ เขาเป็นของเขา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกปัจจัยเครื่องอาศัย นี่ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม มันมีธรรมชาติของมัน นี่อาหาร ยารักษาโรค มันก็มีอยู่แล้ว สิ่งที่เป็นยารักษาโรคสมุนไพรก็รักษาได้ นี่ไม่มียาเลยเราบริหารร่างกายเข็งแรงขึ้นมา มันก็หายจากโรคภัยเหมือนกัน เห็นไหม นี่ถ้าเราบริหารจัดการนี่เราไม่เป็นเหยื่อเขานะ เราไม่เป็นโลกเขานะ เรามีชีวิตของเราสมบูรณ์ ถ้าสมบูรณ์ขึ้นมา เห็นไหม มันรู้จริงนี่มันปล่อยวางอย่างนี้

ไม่เอาการปล่อยวางถือเป็นฤกษ์เป็นชัย ถ้าเราปล่อยวางถือเป็นฤกษ์เป็นชัย ไม่ทำอะไรเลยเขาว่าปล่อยวาง ความปล่อยวางของเขา ความดีของเรามันเอาฤกษ์เอาชัยกันเฉยๆ แต่เราไม่ได้ทำอะไรเลย เห็นไหม นี่คนจะดีดีที่การกระทำ ไม่ใช่ดีที่ชาติ ชาติการเกิด เห็นไหม เกิดมา ดูสิ เกิดมาชาติสูงส่งดีก็มี ทำให้สมความปรารถนาของพ่อแม่ก็มี เกิดในชาติต่ำต้อยสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นคนดีก็มี มันอยู่ที่การกระทำ ถ้าคนทำดีขึ้นมานี่ชาติการเกิด ชาติการเกิดมันเกิดมาด้วยบุญกุศล เกิดมนุษย์สมบัติเท่ากันหมด เพียงแต่เกิดในตระกูลสูง ตระกูลต่ำ ตระกูลต่างๆ เห็นไหม แต่มันดีอยู่ที่การกระทำ ถ้าทำดีนะเราเกิดในชาติสูงส่งก็แล้วแต่ เราจะรักษาสมบัติของพ่อแม่เราได้ เราจะรักษาชาติตระกูลได้ เราส่งเสริมขึ้นมา เรายืนของเราได้ ถ้าเกิดเรารักษาของเราไม่ได้ เรารักษาไม่ได้เพราะเราไม่มีปัญญา นี่เราไม่มีปัญญาของเราใช่ไหม แล้วก็อำนาจวาสนาของคน

อำนาจวาสนาของคน ดูสิ ดูเวลาสภาคกรรม เวลาโลกมันหมุนเปลี่ยนแปลงไป เราตั้งรับไม่ทันนะ เราตั้งรับไม่ทันเลยถ้าปัญญาเราไม่ทัน นี่อำนาจวาสนาของคนเกิดวิกฤตอย่างนี้ อำนาจวาสนาคนเกิดขึ้นมาเห็นไหม โอ้โฮ! โลกนี้มันสมบูรณ์ไปหมดเลย เห็นไหม นี่คือวาสนาของเขา วาสนาของคนมันเป็นอย่างนี้ โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ แต่มันก็ขึ้นๆ ลงๆ ตามประสามัน เห็นไหม สิ่งเกิดมาแล้วใครเกิดเกิดมาช่วงจังหวะไหน นี่สิ่งนี้คือบุญกุศล บุญกุศลส่วนบุญกุศลนะ บุญคือสิ่งที่เราทำสร้างสมไว้ เกิดมาดีเกิดมาชั่ว

แต่ปัญญาในปัจจุบันนี่ การแก้ไขในปัจจุบันนี่เราเป็นคนดี คนดีของเราเพื่อความดีของเรา ความดีนะ ถ้าพูดถึงความดีความชั่ว เราว่าความชั่วเป็นสิ่งที่ไม่ดี สิ่งไม่ดีทำไมใจมันชอบคิดล่ะ ทำไมชอบฝักใฝ่สภาวะแบบนั้นนะ แล้วทำดีทำดีมันไม่มีรสชาติ ทำดีมันไม่พอใจสิ่งต่างๆ แต่กลิ่นของศีลมันหอมทวนลมนะ ความดีนี่มันหอมทวนลม ถึงเราเองเราก็สบายใจ ถ้าเราสะอาดบริสุทธิ์ของเรา ดูสิ มือที่สะอาดบริสุทธิ์นะ มันสามารถเอาสิ่งใดๆ เคลื่อนไหวไปได้หมด นี่ยาพิษต่างๆ มันเข้าไปบริหารจัดการได้ ถ้ามือเราเป็นแผล มือเรามีเชื้อโรคเข้าไป มันเป็นบาดทะยัก มันเป็นแผล มันเป็นต่างๆ ไปหมดเลย ใจเราที่บริสุทธิ์มันเป็นอย่างนั้น

ความรู้สึกของเรา เห็นไหม เราสมควรทำ ควรทำนะ สิ่งที่ควรทำขึ้นมาเพื่อเราแล้วสิ่งข้างนอกมันเป็นเครื่องอาศัย มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ แต่ความรู้สึกชั่วดีนี่มันต้องมีจริงๆ มันมีจริงๆ นะ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็นนะ มันติดไปกับใจเรา มันยอกใจเราตลอดไป ของอาศัยชั่วคราวใช้แล้วหมดไป แต่ความดีความชั่วมันใช้ไม่หมด ใช้ไม่หมดนะ มันจะมีกรรมใหม่กรรมเก่าคือตลอดไป เพราะตัวจิตตัวนี้มันจะมีตลอดไป แต่ถ้าเรามีปัญญาในปัจจุบันนี้เราแก้ไขมัน ทำลายมันนะ ทำลายสิ่งที่มันเป็นแรงขับในทางชั่ว ถ้าแรงขับทางดีเราต้องรักษาไว้ นี่บริหารจัดการอย่างนี้ไง ถ้ามันบริหารจัดการอย่างนี้แรงขับในทางที่ดี เราต้องรักษา

ดูสิ สมาธินี่มันก็เป็นอนิจจัง ปัญญาเกิดดับ ทุกอย่างเกิดดับหมด ถ้าขณะที่มันเกิดขึ้นมาดีๆ เราไม่บริหารจัดการเสียก่อน เราไม่เอามาทำคุณงามความดีเสียก่อนมันก็ไหลไป ดูสิ เวลาฝนตกแดดออก น้ำเวลาเรากักเก็บแหล่งน้ำไว้นะ มันเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้สอย ถ้าเราไม่ได้ใช้สอยมันก็ระเหยไป มันก็ไหลไปตามธรรมชาติของมัน นี่ถ้าแรงขับความดีมันมีอยู่ เราใช้ให้เป็นประโยชน์กับเรา แล้วเราดูแลเรานะ เราดูแลเรา เราจะเห็นความมหัศจรรย์ของใจ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติไปพอเห็นมหัศจรรย์ มันที่สุดทรัพย์สมบัตินี่

ทำไมครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้วนะ ท่านพูดเองบอกว่า เอาเงินทองมากองท่วมฟ้าเลยนะ ให้ท่านไปทำตามสิ่งที่เขาปรารถนาท่านยังไม่เอาเลยนะ ท่านไม่เอาหรอก เพราะสิ่งที่ว่ามันมีคุณค่า มันมีความมหัศจรรย์ของใจ แม้แต่จิตสงบมันพูดไม่ออกเลยนะ เอ๊อะ เอ๊อะ ของจริงนะ ไอ้ที่พูดๆ กันอยู่นั้นนะมันไปเห็นเงา มันยังไม่เห็นความจริงขึ้นมา มันยังไม่ได้ลิ้มรสของธรรมตามความเป็นจริงหรอก แต่ถ้ามันไปได้ลิ้มรสของธรรมตามความเป็นจริงนะ มันจะเป็นความมหัศจรรย์ของใจ

นี่รสของธรรมชนะรสทั้งปวง รสที่ในโลกนี้เขามีอยู่กันนี่ ที่เขาเสพกันอยู่นี่ ที่ว่าเขาว่าเป็นความสุขของเขา นี่รสของธรรมต้องชนะ ถ้าไม่ชนะมันละสิ่งนั้นไม่ได้ มันปล่อยวางสิ่งนั้นไม่ได้ ของที่ไม่มีคุณค่าสูงกว่ามันจะปล่อยสิ่งที่มีคุณค่าต่ำกว่าได้อย่างไร รสของโลกนะเขาว่าสิ่งที่ประเสริฐของเขานี่ ผู้ที่ถือพรหมจรรย์ทำไมมีความสุขมากกว่าล่ะ ความสุขอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา มันจะเห็นความมหัศจรรย์ของใจอย่างนี้ เราถึงต้องแสวงหากันไง เราถึงต้องพยายามบังคับตน บังคับตนเพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ แล้วสิ่งที่มันเป็นพิษเป็นภัยนี่ เห็นไหม เราถึงต้องคอยระวังรักษา

ดูสิ เขื่อนมันจะพังเพราะตามดนะ เพราะเริ่มซึม เริ่มแตก มันจะทำให้ใหญ่โตไป เห็นไหม ธรรมวินัยแม้แต่เล็กน้อยเราก็ต้องรักษานะ นี่ครูบาอาจารย์ท่านบอก หลวงปู่มั่นเก็บเล็กผสมน้อย ทั้งๆ ที่ท่านสิ้นกิเลสแล้วนะ ท่านก็ยังเก็บเล็กผสมน้อยไว้เป็นแบบอย่าง เป็นคติแบบอย่าง วางธรรมวินัยนะ เวลาท่านพูด เห็นไหม ให้ข้อวัตรปฏิบัติให้มันติดหัว ติดหัวคือติดหัวใจของพวกเรานี่ พวกที่ประพฤติปฏิบัติให้มันติดหัวใจของเรา ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ถ้ามันควรทำบ่อยๆ เข้า ทำต่างๆ เข้า มันก็ทำให้จิตใจเราอ่อนแอ ถ้าสิ่งที่เราสะสมขึ้นไป ดูสิ ดูสิ่งที่ภาชนะบรรจุน้ำรักษาของเรา เราปะเราชุนของเราตลอดเวลา มันจะรักษาสิ่งนี้ไว้ได้ตลอดไป เราปล่อยให้มันแตก ปล่อยให้มันทำลาย เห็นไหม สิ่งต่างๆ มันเก็บไว้ไม่ได้

ธรรมและวินัยเป็นอย่างนี้ เราถึงต้องถนอมรักษาของเรา แล้วใจเราจะพัฒนาขึ้นไปพัฒนาขึ้นไป เห็นไหม ความดีอย่างนี้เริ่มต้นจากพื้นฐานขึ้นไป แล้วมันจะสูงส่งขึ้นไป แล้วมันจะเห็นความมหัศจรรย์ของเรา สิ่งที่เป็นมหัศจรรย์เขาไปหากันนะ เขาไปเที่ยวพักผ่อนกันรอบโลก ตอนนี้จะไปเที่ยวอวกาศกัน เห็นไหม แต่เขาไม่รู้จักตัวเขานะ แต่ถ้าเราพักผ่อนอวกาศของใจ ถ้าใจมันปล่อยหมด ว่างหมดนี่ สิ่งนี้มีความสุขมาก หาได้ที่นี่ ความมหัศจรรย์หาได้ที่นี่ แต่มันต้องได้สติสัมปชัญญะ เดินจงกรมนี่เหนื่อยไหม นั่งสมาธินี้เหนื่อยไหม เราจะหาความสุขของเรา สิ่งที่มันแลกมาด้วยความเพียรไง แลกมาด้วยสติสัมปชัญญะ แลกมาด้วยความเพียรของเรา นี่ความดีอย่างนี้ เห็นไหม

ว่าคนเกิดไม่เกิดอยู่ที่ชาติ อยู่ที่การปฏิบัตินี่ ดูสิ ครูบาอาจารย์ที่เคารพศรัทธาของเขา เห็นไหม ทุกชนชั้นจะกราบไหว้บูชา เวลาเราทำบุญตักบาตรเรายกใส่หัวนะ นี่อธิษฐาน อธิษฐานแล้วด้วยบุญกุศลแล้วใส่บาตรไป เห็นไหม นี่เราให้ด้วยความบูชานะ เราบูชาคุณของท่าน บูชาที่ว่าท่านได้สร้างความดีของท่านมา ท่านทำใจของท่านให้เห็นแจ้งขึ้นมา แล้วท่านจะเป็นคนชี้นำเรา เป็นคนบอกเรา แล้วเราทำขนาดไหนนี่มันมืดบอด มืดบอดเพราะอะไร เพราะมันเป็นจินตนาการทั้งนั้นนะ มันเป็นสิ่งที่กิเลสมันสร้างภาพออกมา แล้วมันให้เราออกนอกลู่นอกทาง สิ่งนี้จะชี้นำเรา นำเราออกมา เห็นไหม

เราบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติไปแล้วนี้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือพุทธะ ผู้รู้ ความรู้สึก ความรู้สึกมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์จริงๆ นะ ไม่ได้กล่าวหลอกลวง ไม่ได้กล่าวสิ่งต่างๆ แล้วพิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้ คือเวลาทุกข์นะมันหนักหนาขนาดไหน เวลาปล่อยวางมันเบาขนาดไหน แล้วมหัศจรรย์เกิดขึ้นมาอย่างนี้ มันถึงมีแรงจูงใจ มีการให้ทำ มีความใส่ใจ มีศรัทธา มีความเชื่อ มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วเราจะสมความปรารถนาของเรา

ถ้าเราทำจริงนะ อย่าได้แต่ฟัง อย่าได้แต่คิดว่าอยากทำ เห็นครูบาอาจารย์ท่านพูด น่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ทำไมเราไม่ทำขึ้นมาจริงๆ เห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์ท่านทำขึ้นมา ท่านเห็นคุณค่าท่านถึงได้ปลุกเร้าไง ให้กำลังใจนะ เวลาเทศนาว่าการนะ ปลุกใจ ปลุกใจให้เราตื่นขึ้นมา แล้วให้เราทำของเราเอง เพราะอะไร เพราะระยะทางก้าวเดินของใจ เดินออกไปจากจิตของเรา จากใจของเรา มันต้องเดินจากใจของเรา แต่ถ้าใจมันหลับใหล ใจมันไม่สนใจ มันนอนอยู่นั่นนะ แล้วบอกไม่ใช่หน้าที่ ทำให้เหนื่อยทำไม อยู่ดีๆ ก็สบายอยู่แล้ว เห็นไหม นี่กิเลสมันหลอกอย่างนี้ แล้วเราก็จมอยู่กับมัน ทั้งๆ ที่ว่าเราจมอยู่กับมันนะเรากลับพอใจ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านปลุกเร้าใจของเรานะ เราว่านี่เป็นการดุการด่า เป็นการที่ว่าท่านสมเพช ท่านปลงธรรมสังเวช สิ่งที่มีคุณค่าทั้งหมดเพียงแต่พลิกขึ้นมาให้มันเป็นประโยชน์ มันพลิกได้ ทุกคนสามารถพลิกได้ถ้ามีสติสัมปชัญญะ แล้วครูบาอาจารย์ช่วยประคอง ช่วยพลิก เราต้องพลิกของเราเอง ถ้าพลิกขึ้นมานี่ ใจที่มันหลับมันไหลอยู่มันจะตื่นตัวขึ้นมา แล้วจะเห็นคุณค่า เห็นสิ่งที่มีชีวิต เห็นไหม นี่คนดีที่การประพฤติปฏิบัติ คนดีด้วยการกระทำในหัวใจของเรา เอวัง